ออทิสติกเทียม

ออทิสติกเทียม: สาเหตุ, อาการ และวิธีป้องกันที่สำคัญ

จากสถิติที่ผ่านมาพบว่าเด็กไทยมีอาการ “ ออทิสติกเทียม ” เพิ่มมากขึ้น ภาวะนี้ไม่ได้เกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรมหรือความผิดปกติของสมอง แต่นี่เป็นเพราะการเลี้ยงดูที่ไม่ดี ทำให้เกิดปัญหาพัฒนาการและพฤติกรรมในเด็ก

จริงๆ แล้ว คำว่า “ออทิสติกเทียม” ไม่ใช่ศัพท์ทางการแพทย์ แต่เป็นคำที่ใช้เรียกเด็กที่มีพฤติกรรมใกล้เคียงกับออทิสติก ซึ่งหมายความว่าเด็กมีพัฒนาการไม่เหมาะสมเนื่องจากขาดสิ่งกระตุ้นพัฒนาการที่เพียงพอ

ก่อนที่คุณจะเรียนรู้เกี่ยวกับออทิสติกเทียม คุณต้องเข้าใจออทิสติกที่แท้จริงก่อน…


ออทิสติกที่แท้ประกอบด้วยปัญหาพัฒนาการสามประการต่อไปนี้:

  • การพัฒนาคำพูดและการสื่อสาร เช่น การพูดช้าหรือไม่พูด การพูดภาษาต่างประเทศหรือภาษาต่างประเทศ อย่าชี้ให้เห็นสิ่งที่คุณสนใจหรือสิ่งที่คุณต้องการ ฉันไม่สามารถทำตามคำสั่งได้
  • การพัฒนาสังคม เช่น เด็กๆ รู้สึกเหมือนได้อยู่ในโลกของตัวเอง ใส่ใจสิ่งรอบข้างน้อย ไม่หันหลังกลับ ไม่สบตา ไม่สนใจคนรอบข้าง เฉยเมย ไม่มีอารมณ์ ไม่แบ่งปัน อารมณ์เมื่อผู้อื่นสุขหรือทุกข์
  • การพัฒนาการเล่น เช่น เล่นซ้ำ เล่นไม่เป็น มีความสนใจอย่างหมกมุ่นในบางสิ่งบางอย่าง เช่น เล่นคนเดียว ไม่สนใจเล่นกับเพื่อน ไม่สามารถเล่นตามกฎได้
    นอกจากนี้ เด็กออทิสติกอาจแสดงอาการอื่นๆ เช่น สมาธิสั้น ซุกซน กระสับกระส่าย กระวนกระวายใจ ก้าวร้าว อารมณ์รุนแรง ตบศีรษะ กระพือมือ พลิกตัว เป็นต้น

ข้อมูลเกี่ยวกับ “ออทิสติกเทียม”

ออทิสติกเทียม เป็นภาวะที่เด็กขาดการกระตุ้นในการสื่อสารสองทาง นำไปสู่ความล่าช้าในการสื่อสารและพัฒนาการทางสังคมที่ผิดปกติ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่พูดคุยหรือโต้ตอบกับผู้อื่น ซึ่งมักเกิดจากความประมาทเลินเล่อของผู้ให้บริการด้านสุขภาพหรือผู้ปกครอง ไม่พูดคุยหรือเล่นกับลูกของคุณ และปล่อยให้เด็กดูทีวีหรือใช้อุปกรณ์สื่อสารมากเกินไปเช่นแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟนซึ่งเทียบเท่ากับการส่งข้อความฝ่ายเดียวให้กับเด็ก หรือที่เรียกว่าการสื่อสารทางเดียว

ทราบได้อย่างไรว่าอาการใดบ้างที่เป็นออทิสติกเทียม?

อาการของ ออทิสติกเทียม อาจมีอาการบางอย่างคล้ายกับอาการออทิสติกแท้ และอาการบางอย่างในเด็กแต่ละคนอาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับรูปแบบการเลี้ยงดูของพ่อแม่หรือผู้ปกครอง แต่เราจะสังเกตได้ว่า “อาการที่เข้าข่ายอาการออทิสติกเทียม” มีดังต่อไปนี้

  • เด็กไม่ค่อยสนใจเด็กคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน และไม่รู้ว่าจะเล่นกับคนอื่นอย่างไรเพราะเขาไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับบุคลากรทางการแพทย์หรือคนอื่น
  • เด็กจะไม่สบตาเมื่อพูด ฉันไม่สนใจเวลาที่คนอื่นคุยกับฉันโดยตรง ไม่แบ่งปันความสนใจของเขากับผู้อื่น
  • เด็กไม่สามารถแสดงความต้องการของตนเองได้ มักแสดงออกผ่านการกรีดร้องและการโจมตีที่รุนแรงแทน
  • ไม่พูด พูดช้า ห้ามพูดภาษาการ์ตูน หรือ พูดไม่เข้าใจความหมาย
  • เด็กติดอุปกรณ์สื่อสาร เช่น แท็บเล็ตและสมาร์ทโฟนโดยไม่สนใจกิจกรรมอื่น
  • เด็กมีการแสดงออกที่แตกต่างจากเพื่อนฝูง เช่น พวกเขาร้องไห้โดยไม่มีเหตุผล หรือประพฤติตัวรุนแรงเมื่อไม่ได้สิ่งที่ต้องการ

อาการในเด็กออทิสติกเทียมจะเริ่มสังเกตเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นเมื่ออายุประมาณ 2 ขวบ

รู้แล้วแก้ไขได้เร็ว…วิธีหลีกเลี่ยงออทิสติกเทียม

อาการของ ออทิสติกเทียม นั้นเกิดจากสภาพแวดล้อม ดังนั้นหากเด็กได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอมากขึ้นจากผู้ดูแลที่เหมาะสม อาการของออทิสติกเทียมจะค่อยๆ พัฒนา ปรับปรุงและฟื้นฟู ซึ่งสามารถทำได้โดยการปรับการเลี้ยงลูก เป็นต้น

  • หลีกเลี่ยงที่ยึดหน้าจอทุกประเภทสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี หากคุณอายุมากกว่า 2 ปี อย่าอยู่หน้าจอนานเกินหนึ่งชั่วโมงต่อวัน และต้องดูกับผู้ดูแลระบบโดยแบ่งเวลาการดูออกเป็นช่วงๆ อย่างไรก็ตามไม่ควรใช้หน้าจอเป็นเงื่อนไขให้เด็กทำอะไรได้ เช่น สามารถมองหน้าจอขณะรับประทานอาหารได้
  • เล่นกับเด็กๆ มากขึ้น พูดคุยโต้ตอบกลับไปกลับมา พูดคุยกับเด็กๆ และให้พวกเขามีพื้นที่ในการโต้ตอบ สอนให้เด็กสบตาเมื่อพูด เกมสวมบทบาท เช่น การเป็นครู แพทย์ พ่อครัว เป็นต้น ให้เด็กๆ ออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น ขี่จักรยานหรือเล่นในสนามเด็กเล่น
  • ฝึกฝนกิจกรรมบำบัดเพื่อกระตุ้นการพัฒนาและปรับพฤติกรรมให้เหมาะสม
  • เปิดโอกาสให้เล่นกับเด็กวัยเดียวกัน เพื่อเรียนรู้ที่จะเข้าสังคม

อย่างไรก็ตาม การสนับสนุนจากครอบครัวเป็นพลังที่ดีที่สุดและสำคัญที่สุดในการช่วยรักษาและรักษาพัฒนาการของเด็กออทิสติกเทียม ดังนั้นบุคลากรทางการแพทย์จึงควรใส่ใจและสังเกตอาการของเด็กอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าเด็กจะมีอาการออทิสติกหลอกหรือไม่ก็ตาม เพราะเด็กออทิสติกสามารถรักษาให้หายขาดได้หากพวกเขารู้อย่างรวดเร็ว และด้วยการเปลี่ยนวิธีการรักษาในเวลาเพียง 6 เดือน คุณก็จะได้รับผลลัพธ์ และหากทำเช่นนี้อย่างต่อเนื่องลูกก็จะสามารถกลับไปสู่พัฒนาการและพฤติกรรมที่เหมาะสมได้

ดังนั้นหากเด็กที่มีอาการเข้าค่ายออทิสติกหรือ ออทิสติกเทียม ควรได้รับการตรวจจากกุมารแพทย์ด้านพัฒนาการและพฤติกรรม เพื่อวินิจฉัยและรักษาถึงที่โดยไม่ชักช้า เพราะยิ่งปรึกษาแพทย์เร็วเท่าไร การตรวจก็จะเร็วยิ่งขึ้น การรักษาก็จะยิ่งมีประสิทธิผลมากขึ้นเท่านั้น

More To Explore

กฎหมายจราจร